แก้วมังกร
(Dragon
Fruit, Pitaya)
|
|
ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Hylocereus undatus (Haw) Britt. & Rose.
แก้วมังกร
เป็นผลไม้ที่นำพันธุ์มาจากประเทศเวียดนาม คนเวียดนามเรียกว่า ธานห์ลอง
กัมพูชาเรียกว่า สกราเนียะ มีชื่อสามัญว่า Dragon fruit ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
Hylocereus undatus (Haw) Britt. & Rose. ถิ่นกำเนิดของแก้วมังกรอยู่ในทวีปอเมิรกากลาง
แถบหมู่เกาะเวสต์อินดีส โคลอมเบีย กัวเตมาลา และเวเนซูเอล่า
สันนิษฐานว่าแก้วมังกรเข้ามาในเอเชียโดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่นำพืชพันธุ์
นี้มาจากอเมริการกลางมาปลูกในเวียดนามเป็นระยะเวาลาไม่น้อยกว่าหนึ่งศตวรรษ
ที่เวียดนามปลูกันมากจนชาวเวียดนามถือว่าเป็นผลไม้ท้องถิ่น
มีการปลูกเป็นไม้ผลหลังบ้านและปลูกเป็นสวนขนาดเล็ก ขนาดใหญ่
ตามสภาพดินที่มีอยู บริเวณที่ปลูกกันมากคือ แถบชายฝั่งทะเลตะวันออกจากเมืองนาตรังทางเหนือลงไปทางใต้ถึงนครโฮจิมินห์
ส่วนในเมืองไทยนั้น
มีผู้นำแก้วมังกรเข้ามาปลูกเป็นเวลานานมากกว่ากึ่งศตวรราแล้ว
แต่ไม่เป็นที่รู้จักเมื่อราว พ.ศ. 2534 เพิ่งมีการนำต้นพันธุ์ดีจากประเทศเวียดนามเข้ามาปลูกเพื่อเป็นผลไม้เศรษฐกิจ
แก้วมังกรเป็นไม้ในตระกูลกระบองเพชร
ลำต้นเป็นแฉก 3 แฉก
คล้ายครับมังกร มีหนามเป็นกระจุกอยู่ที่ตา 4-5 หนาม
ลำต้นเดียว แผ่ก้านออกไปรอบ ๆ ต้องมีค้างคอยพยุง ดอกสีขาว
เป็นรูปทรงกรวยขนาดใหญ่ มีกลีบยาวเรียวทับซ้อนกัน บานในเวลากลางคือ
จึงมีชื่อเรียกว่า moonflower หรือ lady ot the night
หรือ queen of the night ผลแก้วมังกรเมื่อดิบผิวเปลือกเป็นสีเขยว
รูปทรงกลมรี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 6-10 ซม.
มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ตามเปลือกผล เมื่อสุกผิวเปลือกเปลี่ยนเปนสีแดงอมชมพู
เนื้อในมีทั้งสีแดงและสีขาวขุ่น มีเมล็ดเล็ก ๆ
สีดำคล้ายเมล็ดแมงลักกระจายทั่วทั้งผล ปลูกได้ทุกภาคทั่วประเทศ
แต่แหล่งที่มีการปลูกมากอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ชลบุรี กาญจนบุรี
สระบุรีและสมุทรสงคราม
แก้วมังกรมีหลายพันธุ์ด้วยกัน ดังนี้
- แก้วมังกรพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง
ผลทรงกลมรีผิวเปลือกสีชมพูสด มีกลีบสีเขียวตามผิวเปลือก
เนื้อสีขาวมีเมล็ดสีดำแทรกอยู่ในเนื้อ รสชาติหวานนิด ๆ อมเปรี้ยวหน่อย ๆ
บางผลก็หวานจัด แล้วแต่ลูก
- แก้วมังกรพันธุ์เนื้อขาวเปลือกเหลือง
ผลเป็นรูปไข่ ขนาดเล็กกว่าทุกพันธุ์ เปลือกหนาสีเหลือง เนื้อสีขาว
เมล็ดสีดำมีขนาดใหญ่และปริมาณน้อยกว่าพันธุ์อื่น ๆ รสชาติหวาน
- แก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดง
เป็นพันธุ์ที่ผสมขึ้นมาใหม่จากไต้หวัน ผลเป็นทรงกลม เปลือกสีแดงจัด
ผลขนาดเล็กกว่าพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง เนื้อสีแดงจัด มีเมล็ดสีดำขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่ว
รสชาติหวานกว่าพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง
แก้วมังกรในประเทศไทยมีผลดกช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤศจิกายน
แต่ก็มีผลประปรายตลอดทั้งปี มักกินเป็นผลไม้สด
หรือกินรวมกับผลไม้อื่นเป็นฟรุตสลัด หรือนำไปปั่นเป็นน้ำแก้วมังกร
เพราะเนื้อเยอะฉ่ำน้ำ รสหวานอ่อนๆ อมเปรี้ยวนิดๆ
ส่วนแก้วมังกรแดงรสจะหวานจัดกว่าเล็กน้อย
เมื่อเรารู้ลักษณะของความเป็นมาของแก้วมังกรแล้วเรามาดู วิธีการปลูกแก้วมังกรแบบประหยัดกันครับ
การปลูกแก้วมังกร จะปลูกระยะห่าง 50 เซ็นติเมตร
ต่อ 1 ต้น โดยปักไม้รวกมัดติดกับต้น
ปลายไม้รวกผูกติดกับลวดด้านบน ให้ระยะปลูก ระหว่างแถวห่างกันประมาณ 2-3
เมตร ในเนื้อที่ 1 ไร่จะปลูกได้ประมาณ 1500
ต้น ความสูงของค้างประมาณ 150 เซนติเมตร
ก่อนยอดจะุถึงค้างถ้าต้นแก้วมังกรแตกแขนง ควรจะเด็ดทิ้งเหลือไว้เพียง 1
ยอด จะได้โตเร็วจนปลายยอด ต้นแก้วมังกรสูงถึงค้างจะเด็ดยอดทิ้งเพื่อให้แตกกิ่งข้าง
ในปีแรกจะไว้กิ่งเพียง 3-4 กิ่ง กิ่งเริ่มยาวจะห้อยลง
พอห้อยลงประมาณ 60-70 เซนติเมตร ก็จะเด็ดยอดอีกครั้งเพื่อให้อั้นตาดอกก่อนเด็ดยอดประมาณ
1 เดือน ใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 เพื่อให้สะสมอาหารช่วงออกดอก
ติดผลควรเลือกลูกที่สมบูรณ์ไว้กิ่งละ 2-3 ลูกใน 1
ต้น มี 4 กิ่ง เฉลี่ย 2-3 ผลต่อ 1 กิโลกรัมต่อรุ่นต่อต้นจะได้ 3-5 กิโลกรัม ใน 1 ปีออก 5 รุ่น
เฉลี่ยต่อปีต่อต้นได้ประมาณ15 กิโลกรัม ราคาิกิโลกรัมละ 25-35
บาท ถ้าดูแลดีได้ผลผลิตดีเพียง 1 ปี
ก็คืนทุนการให้ปุ๋่ยนั้น ปลูกไปประมาณ 20 วันก็เริ่มให้ปุ๋ยได้ใช้สูตร
25-7-7 ต้นละ 1 ช้อนโต๊ะ เดือนละ 2
ครั้ง ช่วงหน้าแล้วควรใช้แกลบ ดิน หรือฟาง
คลุมโคนต้นเพื่อรักษาความชุ่มชื่น ไม่ควรกำจัดหญ้าจนเกลี้ยงจะทำให้ดินร้อนเพราะรากของแก้วมังกรจะอยู่ลึกประมาณ
30 เซนติเมตร ถ้ามีหญ้ามากและสูงเกินไปควรใช้เครื่องตัิดเศษหญ้าจะได้คลุมโคนต้นและเมื่อย่อยสลายแล้วจะกลายเป็นปุ๋ยด้วย
คุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณ:
แก้วมังกร มีสารอาหารหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส
แคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินซี และมีเส้นใย มีสรรพคุณช่วยลดโคเลสเตอรอล
ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ลดความดันโลหิต ควบคุมน้ำหนัก แก้ท้องผูก
ป้องกันมะเร็งสำไส้ใหญ่และช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น
|
|
|
ขอขอบคุณแล่งที่มา misterfruitthaiclub.com
Noom.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น